|
เครื่องซักผ้าถือว่าเป็นอีกหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าประจำบ้านที่ทุกบ้านต้องมีติดไว้ เพราะด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์คนยุคนี้ที่ต้องการความสะดวกรวดเร็วในการทำความสะอาดเสื้อผ้า แต่การเลือกเครื่องซักผ้าต้องดูว่าเครื่องซักผ้ามีกี่ประเภท เพราะเครื่องซักผ้ามีหลายประเภทที่ใช้งานแตกต่างกัน
ในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปไขข้อสงสัยว่าระบบเครื่องซักผ้ามีอะไรบ้าง? มาเปรียบเทียบ พร้อมวิธีการทำงานของแต่ละระบบ และเทคนิคการเลือกให้เหมาะกับธุรกิจและพื้นที่ใช้สอย เพื่อให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการ

เครื่องซักผ้ามีประโยชน์อย่างไรต่อชีวิตประจำวัน
ในยุคแห่งการเร่งรีบ หนึ่งในตัวช่วยสำหรับคนยุคนี้คือเครื่องซักผ้า ที่เป็นตัวช่วยสำหรับการทำความสะอาดเสื้อผ้าจำนวนมากได้ในเวลาที่รวดเร็ว ไม่เหนื่อย มาดูประโยชน์ของเครื่องซักผ้าต่อการใช้ชีวิตประจำวันมี ซึ่งหลักๆ มีดังนี้
- ช่วยประหยัดแรง จากการไม่ต้องซักมือ ช่วยลดความเหนื่อยล้าจากการซักผ้าแบบเดิมๆ
- ประหยัดเวลา นำเวลาที่ต้องซักผ้าจำนวนมากไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์ได้
- ได้ผ้าที่สะอาด เพราะเครื่องซักผ้ามีประสิทธิภาพในการซักผ้าได้อย่างสะอาดทั่วถึง
- ถนอมผ้า เครื่องซักผ้าจะมีโหมดการซักที่ถนอมเนื้อผ้า ทำให้ผ้าไม่เสียหาย
- ประหยัดน้ำ เครื่องซักผ้ามีเทคโนโลยีควบคุมปริมาณน้ำที่ซักให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

ระบบเครื่องซักผ้ามีอะไรบ้าง? เครื่องซักผ้ามีกี่ประเภท
สำหรับเครื่องซักผ้าจะแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ตามรูปแบบลักษณะของเครื่องและการใช้งาน โดยระบบ เครื่องซักผ้ามีอะไรบ้าง? ไปดูกัน
1. เครื่องซักผ้าแบบฝาบน 1 ถัง (Top Load 1 Tub)
เครื่องซักผ้าแบบฝาบน 1 ถัง (Top Load 1 Tub) เป็นเครื่องซักผ้าแบบอัตโนมัติที่สามารถทำหน้าที่ซักและปั่นได้ภายในถังเดียว เครื่องซักผ้าแบบฝาบน 1 ถัง เป็นสเตนเลสทรงกระบอก และมีแกนหรือจานซักอยู่กึ่งกลางที่บริเวณก้นถัง
จุดเด่นของเครื่องซักผ้าประเภทนี้คือผู้ใช้สามารถใส่เสื้อผ้าที่ต้องการซักเข้าไปทั้งหมดได้ในครั้งเดียว และตั้งค่าเครื่องให้เหมาะสมกับผ้าที่ต้องการจะซัก ซึ่งแกนของเครื่องจะทำหน้าที่หมุนสลับในแนวตั้ง ทำให้ผ้าเกิดการเสียดสี สิ่งสกปรกต่างๆ บนเสื้อผ้าก็จะหลุดออกไป
ข้อดีของเครื่องซักผ้าฝาบน 1 ถัง
- ประหยัดเวลา เพราะสามารถซักผ้าได้ปริมาณมากในครั้งเดียว
- สามารถซักและปั่นผ้าได้ในถังเดียว
- ปั่นหมาดได้ในเวลาที่รวดเร็ว
- ราคาไม่แพง สามารถเข้าถึงได้
2. เครื่องซักผ้าแบบฝาบน 2 ถัง (Top Load 2 Tubs)
เครื่องซักผ้าแบบฝาบน 2 ถัง (Top Load 2 Tubs) เป็นเครื่องซักผ้ารูปแบบกึ่งอัตโนมัติ การทำงานก็ตามชื่อเลยคือมีสองถังอยู่ภายในเครื่องเดียวกัน ซึ่งทั้งสองถังจะแยกส่วนระหว่างถังสำหรับซักและถังสำหรับปั่นแห้ง การทำงานของเครื่องซักผ้าแบบ 2 ถังคือเครื่องจะทำการหมุนจากบนลงล่าง ทำให้น้ำและผ้าพันกันไปมาระหว่างที่ซัก และหลังจากที่ซักเสร็จแล้ว ผู้ใช้จะต้องนำผ้าออกมาลงถังปั่นหมาดอีกที หรือผู้ใช้จะเลือกทั้งซักทั้งปั่นแห้งพร้อมกันก็สามารถทำได้เช่นกัน
ข้อดีของเครื่องซักผ้าแบบฝาบน 2 ถัง
- สามารถทำได้ทั้งซักผ้าและปั่นผ้าแห้งได้พร้อมๆ กัน
- ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก
- มีราคาที่ค่อนข้างถูกมาก
3. เครื่องซักผ้าแบบฝาหน้า (Front Load)
เครื่องซักผ้าแบบฝาหน้า (Front Load) เป็นเครื่องซักผ้าที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน โดยเฉพาะในร้านซักผ้า 24 ชั่วโมง โดยลักษณะของเครื่องซักผ้าชนิดนี้จะต่างจากสองแบบแรกคือถังซักผ้าจะเปิดจากด้านหน้าแทน วิธีการซักจะเป็นการหมุนถังซักผ้าด้วยความเร็วและแรงกว่า ช่วยให้ผ้าสะอาดมากกว่า และประหยัดค่าน้ำมากกว่า ดังนั้น ถ้าถามว่าเครื่องซักผ้าแบบไหนสะอาดสุด? เครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าถือว่าเป็นทางเลือกที่เหมาะสมเลย
ข้อดีของเครื่องซักผ้าแบบฝาหน้า
- สามารถซักได้ทั้งน้ำร้อนและน้ำเย็น
- ซักเสื้อผ้าได้สะอาดกว่า
- ช่วยประหยัดน้ำ
4. เครื่องซักผ้าและอบผ้า (Washers & Dryers)
เครื่องซักผ้าและอบผ้า (Washers & Dryers) เป็นเครื่องซักผ้าที่สามารถทำได้ทั้งซักผ้าและอบผ้าได้ในเครื่องเดียว ทำให้ผู้ใช้สามารถนำเสื้อผ้าที่ซักเสร็จแล้วมาสวมใส่ได้ทันที ช่วยประหยัดเวลา ลดความยุ่งยาก นอกจากนี้ยังทำความสะอาดได้ดี ช่วยลดการเกิดเชื้อโรคและแบคทีเรียต่างๆ ได้มากกว่าการตากผ้าแบบทั่วไป
ข้อดีของเครื่องซักผ้าและอบผ้า
- ช่วยถนอมผ้า ไม่ทำให้ผ้ายับ ลดการเกิดเชื้อราและแบคทีเรีย
- ไม่ต้องตากผ้า ประหยัดพื้นที่ภายในบ้าน
- ประหยัดเวลา เพราะช่วยซักผ้าและอบผ้าได้ในเครื่องเดียว

วิธีเลือกเครื่องซักผ้าให้ตอบโจทย์การใช้งาน
หลังจากไขข้อสงสัยเรื่องเครื่องซักผ้าแบ่งออกเป็นกี่ประเภทกันไปแล้ว อีกสิ่งที่จำเป็นต้องรู้ไม่แพ้กันคือการเลือกเครื่องซักผ้าให้ตอบโจทย์การใช้งาน โดยมีวิธีเลือกดังนี้
ประสิทธิภาพต้องดี
การเลือกเครื่องซักผ้าที่ดีควรเลือกประสิทธิภาพการใช้งานของเครื่อง โดยอาจเปรียบเทียบการใช้งานของเครื่องซักผ้าแต่ละประเภทว่าแบบไหนใช้งานได้ประสิทธิภาพและตอบโจทย์เรามากที่สุด
ทั้งนี้ ควรเลือกเครื่องซักผ้าที่ทำจากสเตนเลสมากกว่าที่ทำจากพลาสติก เนื่องจากเป็นวัสดุที่มีความทนทาน สามารถทนต่อความร้อนและทำรอบปั่นที่เร็วมากๆ ได้ ทั้งนี้การออกแบบที่เป็นพื้นผิวขรุขระของสเตนเลสยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาดสิ่งสกปรกจากเสื้อผ้าอีกด้วย
ต้องช่วยประหยัดพลังงาน
นอกจากการเลือกเครื่องซักผ้าจากประสิทธิภาพการใช้งานแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ควรให้ความสำคัญคือการรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยการเลือกเครื่องซักผ้าที่ช่วยประหยัดพลังงาน เพราะนอกจากจะช่วยรักษ์โลกแล้วยังช่วยประหยัดค่าไฟไปในตัวด้วย
เครื่องซักผ้าที่มีคุณสมบัติโดดเด่นด้านการประหยัดพลังงาน คือเครื่องซักผ้าแบบฝาหน้า เนื่องจากใช้ระบบมอเตอร์กระแสตรง (Inverter) ที่ผ่านการพิสูจน์การใช้งานมาแล้วว่าช่วยลดการใช้ไฟและการใช้น้ำ โดยที่ยังรักษาประสิทธิภาพการซักไว้ได้อย่างดี
พื้นที่ติดตั้งเหมาะสม
เพราะเครื่องซักผ้าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีขนาดใหญ่พอๆ กับตู้เย็น ดังนั้น ก่อนเลือกซื้อเครื่องซักผ้าควรพิจารณาขนาดของเครื่องและพื้นที่ใช้สอยในบ้านก่อนว่าเพียงพอต่อการติดตั้งเครื่องซักผ้าประเภทไหน
โดยการติดตั้งเครื่องซักผ้าที่เหมาะสมจะต้องไม่วางใกล้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทอื่น และต้องเป็นจุดที่สามารถระบายน้ำได้ดี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดน้ำขังจนเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค ซึ่งจุดที่นิยมวางเครื่องซักผ้าได้แก่ ใต้เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า หรือวางบริเวณใต้บันได เป็นต้น
ขนาดต้องเหมาะกับการใช้งาน
นอกจากการเลือกประเภทของเครื่องซักผ้าและพื้นที่ติดตั้งที่เหมาะสมแล้ว อีกสิ่งที่ควรพิจารณาคือขนาดของเครื่องซักผ้าที่เหมาะสมต่อการใช้งาน โดยเลือกจากสมาชิกภายในบ้านว่ามีจำนวนผ้าที่ต้องซักมากน้อยแค่ไหน หากเป็นครอบครัวใหญ่ควรเลือกเครื่องซักผ้าที่สามารถจุได้เยอะ หรือหากเป็นครอบครัวเล็กๆ ก็อาจเลือกเครื่องซักผ้าที่มีความจุน้อย
โดยปริมาณที่แนะนำต่อการเลือกขนาดเครื่องซักผ้ามีดังนี้
- ครอบครัวที่มีสมาชิก 1 – 2 คน ควรใช้เครื่องซักผ้าความจุ 7 – 8 กิโลกรัม
- ครอบครัวที่มีสมาชิก 3 – 4 คน ควรใช้เครื่องซักผ้าความจุ 9 – 10 กิโลกรัม
- ครอบครัวที่มีสมาชิกมากกว่า 4 คนขึ้นไป หรือคนที่ต้องการทำธุรกิจซักแห้ง ควรใช้เครื่องซักผ้าความจุ 11 – 14 กิโลกรัม
มีการรับประกันและบริการหลังการขาย
นอกจากการพิจารณาในเรื่องของคุณภาพตัวเครื่องซักผ้าแล้ว อีกสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือบริการหลังการขาย เนื่องจากเครื่องซักผ้าก็คือเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่มีโอกาสชำรุด เสียหาย หรือเสื่อมสภาพการใช้ตามเวลา ดังนั้น การซื้อเครื่องซักผ้าแต่ละครั้งควรมีการรับประกัน รวมถึงเงื่อนไขการดูแลและซ่อมแซม
เพราะหากเครื่องซักผ้ามีการรับประกัน ก็จะช่วยลดความกังวลใจหากเกิดความเสียหายจากกรณีต่างๆ ได้ ยิ่งหากเป็นแบรนด์ที่มีคุณภาพจะให้ความใส่ใจเรื่องการดูแลหลังการขายเป็นพิเศษ ซึ่งช่วยให้เบาใจขึ้นเยอะมาก
ราคาสมเหตุสมผล
ราคาเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าในปัจจุบัน เพราะหากมีราคาแพงเกินความจำเป็นก็อาจทำให้สิ้นเปลืองเงินทองไปโดยใช่เหตุ ดังนั้น ก่อนเลือกซื้อเครื่องซักผ้าควรตั้งงบประมาณที่เหมาะสม โดยอาจพิจารณาจากสมาชิกในครอบครัวและปริมาณการใช้งาน เพราะหากเลือกเครื่องซักผ้าที่เหมาะสมทั้งราคา และการใช้งาน นอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายแล้ว ยังช่วยประหยัดค่าน้ำและค่าไฟได้อีกด้วย

วิธีใช้เครื่องซักผ้าที่ถูกต้อง
หลังจากที่เข้าใจไปแล้วว่าเครื่องซักผ้าแบ่งออกเป็นกี่ประเภท และวิธีเลือกเครื่องซักผ้าต้องทำอย่างไร หนึ่งในสิ่งที่ควรทำความเข้าใจอีกอย่างคือวิธีการใช้งานเครื่องซักผ้า เพื่อให้สามารถซักผ้าได้มีประสิทธิภาพ และถนอมเครื่องให้ใช้งานได้ยาวๆ ซึ่งวิธีใช้เครื่องซักผ้าให้ถูกต้องมีดังต่อไปนี้
1. ตรวจเช็กเสื้อผ้าที่จะนำไปซัก
ก่อนจะเริ่มนำเสื้อผ้าเข้าเครื่องซักผ้า ควรตรวจสอบเสื้อผ้าที่จะนำไปซักก่อนว่าภายในเสื้อผ้ามีเหรียญหรือสิ่งของอะไรไหม เนื่องจากหากมีวัสดุที่เป็นเหรียญหรือของแข็งเข้าไปในเครื่องซักผ้าระหว่างซักอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อเครื่องซักผ้าในภายหลังได้
2. ตั้งค่าการซักให้เหมาะสม
หลังจากตรวจเช็กเสื้อผ้าที่จะซักเรียบร้อยแล้ว เมื่อนำเสื้อผ้าใส่ในเครื่องซักผ้าพร้อมใส่ผงซักฟอกเป็นที่เรียบร้อย ต่อมาสิ่งที่ต้องทำคือการตั้งค่าการซักให้เหมาะสม เนื่องจากเครื่องซักผ้าจะมีให้เลือกทั้งหมด 2 แบบคือการซักแบบปกติและซักแบบถนอมเนื้อผ้า ซึ่งจะต่างกันดังนี้
- การซักแบบปกติ คือการซักแบบธรรมดา ไม่ได้เน้นการถนอมเนื้อผ้าแต่อย่างใด เหมาะซักกับเสื้อผ้าทั่วไป เช่น กางเกงยีน เสื้อเชิ้ต เสื้อยืด เป็นต้น
- การซักแบบถนอมผ้า เป็นการซักที่เน้นความอ่อนโยนต่อเนื้อผ้ามากที่สุด มักใช้กับการซักผ้าที่เป็นลูกไม้ ผ้าลินิน หรือผ้าม่าน เป็นต้น
3. ใส่ปริมาณน้ำยาและผงซักฟอกให้เหมาะสม
การซักผ้าให้สะอาดและได้ประสิทธิภาพสูงสุด ควรใส่ปริมาณของน้ำยาซักผ้าหรือผงซักฟอกให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อจำนวนผ้าที่ซัก เพราะหากใส่น้อยเกินไปอาจทำให้ผ้าไม่สะอาด แต่หากใส่เยอะเกินไปอาจทำให้ผงซักฟอกติดอยู่บนเสื้อผ้าได้ โดยดูปริมาณที่เหมาะสมได้ที่ข้างซองของน้ำยาซักผ้าหรือผงซักฟอก
4. ใส่ปริมาณผ้าให้เหมาะสม
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าเครื่องซักผ้าจะมีขนาดการจุที่แตกต่างกัน ดังนั้น การซักผ้าแต่ละครั้งควรใส่ปริมาณเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับขนาดเครื่อง ซึ่งปริมาณที่เหมาะสมต่อการซักผ้าให้สะอาดและได้ประสิทธิภาพสูงสุดควรซักครั้งละประมาณ 8 – 12 ชิ้นต่อครั้ง
5. ไม่ใช้เครื่องซักผ้าถี่จนเกินไป
ควรใช้เครื่องซักผ้าวันละไม่เกิน 1 – 2 ครั้ง เนื่องจากเครื่องซักผ้าทำงานด้วยมอเตอร์ หากใช้งานบ่อยเกินไปจะทำให้เกิดความร้อน ร้ายแรงถึงขั้นอาจทำให้มอเตอร์ไหม้ ดังนั้น การป้องกันที่ดีควรใช้เครื่องซักผ้าในความถี่ที่เหมาะสม
6. หลังซักควรเปิดฝาเครื่องทิ้งไว้
หลังจากที่ใช้เครื่องซักผ้าเสร็จในแต่ละครั้ง ควรเปิดฝาถังเครื่องซักผ้าทิ้งไว้ประมาณ 15 – 20 นาที เพื่อช่วยลดโอกาสในการเกิดแบคทีเรียหรือเชื้อโรคตกค้าง
7. ล้างเครื่องซักผ้า ทุก 1 – 2 เดือน
เนื่องจากการใช้เครื่องซักผ้าแต่ละครั้งอาจทำให้เกิดเชื้อโรคหรือแบคทีเรียจากเสื้อผ้าที่ซักเข้าไปสะสมอยู่บริเวณถังซักผ้า ดังนั้น ควรทำความสะอาดเครื่องซักผ้าเป็นประจำอย่างน้อย 1 – 2 เดือนต่อครั้ง เพื่อให้เครื่องซักผ้าสามารถทำความสะอาดได้อย่างเต็มที่

สรุป
ได้เห็นกันไปแล้วว่าระบบเครื่องซักผ้ามีอะไรบ้าง จะเห็นได้ว่าเครื่องซักผ้าแต่ละประเภทมีจุดขาย และการใช้งานที่ต่างกัน ดังนั้น การเลือกซื้อหรือเลือกใช้เครื่องซักผ้าแต่ละครั้ง ควรประเมินความเหมาะสมจากจำนวนผ้าที่ใช้ งบประมาณ และความต้องการของเรา ส่วนใครที่สนใจลงทุนทำธุรกิจร้านสะดวกซัก ขอแนะนำเครื่องซักผ้าของ Staits Laundry ที่มีเครื่องซักผ้าให้เลือกแบบครบ-จบ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องซัก เครื่องซักอบ หรือเครื่องอบคู่ ก็มีให้เลือกมากมาย ให้คุณมั่นใจว่าจะได้เครื่องซักผ้าที่มีคุณภาพ ตรงใจทุกการใช้งานแน่นอน!
FAQ: ไขข้อข้องใจ! ระบบเครื่องซักผ้ามีอะไรบ้าง? เครื่องซักผ้ามีกี่ประเภท?
เครื่องซักผ้ามีหลายประเภท และแต่ละระบบก็มีข้อดี-ข้อเสียต่างกัน หากคุณกำลังมองหาเครื่องซักผ้าที่เหมาะกับการใช้งานของคุณ นี่คือคำตอบของคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับระบบและประเภทของเครื่องซักผ้า
1. เครื่องซักผ้ามีกี่ประเภทหลัก?
เครื่องซักผ้าแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่
🔹 เครื่องซักผ้าฝาบน (Top Load Washer) – ใช้งานง่าย ราคาไม่แพง
🔹 เครื่องซักผ้าฝาหน้า (Front Load Washer) – ประหยัดน้ำและถนอมผ้า
🔹 เครื่องซักผ้ากึ่งอัตโนมัติ (Semi-Automatic Washer) – ต้องเติมน้ำเอง เหมาะกับการใช้งานเฉพาะจุด
2. ระบบการทำงานของเครื่องซักผ้ามีกี่แบบ?
เครื่องซักผ้ามีระบบทำงานที่แตกต่างกันตามเทคโนโลยีของแต่ละรุ่น ซึ่งหลักๆ มีดังนี้
✅ ระบบ Agitator (ใบพัดกวนน้ำ) – พบในเครื่องซักผ้าฝาบนทั่วไป ใช้ใบพัดหมุนเพื่อกวนน้ำและเสื้อผ้าให้สะอาด เหมาะกับการซักผ้าปริมาณมาก แต่ถนอมผ้าน้อยกว่า
✅ ระบบ Pulsator (จานหมุน) – ใช้จานหมุนสร้างกระแสน้ำวน ช่วยซักผ้าให้สะอาดเร็วขึ้น และลดแรงเสียดทานของผ้า
✅ ระบบ Direct Drive (มอเตอร์ตรง) – เครื่องซักผ้าฝาหน้าหลายรุ่นใช้ระบบนี้ ทำงานเงียบ ลดแรงสั่นสะเทือน และมีอายุการใช้งานยาวนาน
✅ ระบบ Inverter (ประหยัดพลังงาน) – ควบคุมรอบการหมุนของมอเตอร์ให้เหมาะสม ประหยัดไฟ และช่วยให้ซักผ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
✅ ระบบไอน้ำ (Steam Wash) – ใช้ไอน้ำร้อนช่วยขจัดแบคทีเรียและไรฝุ่น เหมาะสำหรับซักเสื้อผ้าของเด็กเล็กและผู้ที่แพ้ง่าย
3. เครื่องซักผ้าฝาบนกับฝาหน้าต่างกันอย่างไร?
🔹 เครื่องซักผ้าฝาบน
- เติมผ้าได้ระหว่างซัก
- ใช้เวลาซักสั้นกว่า
- ราคาเข้าถึงง่าย
🔹 เครื่องซักผ้าฝาหน้า
- ประหยัดน้ำมากกว่า
- ถนอมผ้าและลดรอยยับ
- ใช้พลังงานน้อยกว่าในระยะยาว
4. ควรเลือกเครื่องซักผ้าแบบไหนให้เหมาะกับการใช้งาน?
✅ ซักผ้าปริมาณมาก – เลือกเครื่องซักผ้าฝาบนถังใหญ่
✅ ต้องการประหยัดน้ำ – เลือกเครื่องซักผ้าฝาหน้า
✅ พื้นที่จำกัด – เลือกเครื่องซักผ้าแบบ 2-in-1 (ซักและอบในตัว)
✅ ต้องการถนอมผ้า – เลือกเครื่องซักผ้าที่มีระบบไอน้ำ (Steam Wash)