- เครื่องซักผ้าใช้น้ำประมาณ 40 – 100 ลิตรต่อรอบ ขึ้นอยู่กับขนาดและประเภทของเครื่อง รวมถึงโปรแกรมซักที่เลือกใช้
- ค่าใช้จ่ายในการซักผ้า 1 ครั้งขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำที่ใช้และอัตราค่าน้ำในพื้นที่ โดยทั่วไปเครื่องซักผ้าใช้น้ำประมาณ 40 – 100 ลิตรต่อรอบ หากค่าน้ำเฉลี่ย 10 บาทต่อลูกบาศก์เมตร การซักผ้า 1 ครั้ง อาจมีค่าใช้จ่ายประมาณ 0.40 – 1 บาทต่อรอบ
- วิธีประหยัดน้ำในการซักผ้าทำได้ง่ายๆ ด้วยการซักผ้าในปริมาณที่พอดี เลือกโปรแกรมซักที่เหมาะสม แยกประเภทเสื้อผ้า ขจัดคราบก่อนซัก และบำรุงรักษาเครื่องซักผ้าอย่างสม่ำเสมอ
- Straits Laundry ให้คุณได้เริ่มต้นธุรกิจซักรีดได้ง่ายๆ สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในธุรกิจที่ง่ายต่อการดูแล เป็นธุรกิจที่ตอบโจทย์ลูกค้าเป็นจำนวนมาก ที่ต้องการความสะดวกรวดเร็วและประหยัดเวลาในการซักผ้า
หลายคนอาจไม่ทราบว่าเครื่องซักผ้าเป็นหนึ่งในเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้น้ำมากที่สุดในบ้าน และการใช้งานเครื่องซักผ้าอย่างไม่ระมัดระวังอาจส่งผลกระทบต่อค่าน้ำรายเดือนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในบทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำถามที่หลายคนสงสัย เครื่องซักผ้าใช้น้ำกี่ลิตร? พร้อมเคล็ดลับประหยัดน้ำที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน เพื่อลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ไขข้อสงสัย เครื่องซักผ้าใช้น้ำกี่ลิตร?
การใช้น้ำของเครื่องซักผ้าแต่ละประเภทและขนาดแตกต่างกันไป โดยทั่วไปเครื่องซักผ้าใช้ปริมาณน้ำในการซักประมาณ 40 – 100 ลิตร ต่อการซัก 1 รอบ ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่มีผลต่อการใช้น้ำในแต่ละรอบการซัก มาดูกันว่ามีปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อการซัก
1. ขนาดของเครื่องซักผ้า
ขนาดของเครื่องซักผ้าคือหนึ่งในปัจจัยหลักที่มีผลต่อปริมาณการใช้น้ำ เครื่องซักผ้าที่มีขนาดถังใหญ่หรือสามารถซักผ้าได้มาก เช่น เครื่องซักผ้า 10 กิโลกรัมขึ้นไป จะต้องใช้น้ำมากกว่าเครื่องซักผ้าที่มีขนาดเล็กอย่างขนาด 7 กิโลกรัม เพราะถังที่ใหญ่จะต้องใช้น้ำที่มีปริมาณมากขึ้นเพื่อให้ผ้าได้ซักสะอาด โดยทั่วไปเครื่องซักผ้าขนาด 10 กิโลกรัมขึ้นไปจะใช้น้ำประมาณ 60 – 100 ลิตร ต่อการซักหนึ่งรอบ
2. ประเภทของเครื่องซักผ้า
ประเภทของเครื่องซักผ้าแต่ละชนิดมีผลต่อการใช้น้ำ ดังนี้
- เครื่องซักผ้าแบบฝาบน เครื่องซักผ้าแบบฝาบนมักจะใช้น้ำมากกว่าเครื่องซักผ้าแบบฝาหน้า เนื่องจากต้องเติมน้ำเพื่อให้ผ้าได้หมุนและสัมผัสน้ำอย่างทั่วถึง เครื่องซักผ้าฝาบนจะใช้น้ำประมาณ 50 – 80 ลิตร ขึ้นอยู่กับขนาดของเครื่องและประเภทของโปรแกรมที่เลือก
- เครื่องซักผ้าแบบฝาหน้า เครื่องซักผ้าแบบฝาหน้ามักจะใช้น้ำในปริมาณที่น้อยกว่า เนื่องจากการซักในระบบการหมุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงสามารถใช้ปริมาณน้ำที่ต่ำกว่าได้ โดยทั่วไปเครื่องซักผ้าแบบฝาหน้ามักใช้น้ำประมาณ 40 – 60 ลิตร ต่อการซักหนึ่งรอบ
3. โปรแกรมซักที่เลือกใช้
โปรแกรมซักที่เลือกใช้นั้นมีผลต่อการใช้น้ำ ดังนี้
- โปรแกรมซักธรรมดา โปรแกรมที่ทำความสะอาดผ้าในปริมาณปกติ โดยจะใช้น้ำมากขึ้นเพื่อให้ผ้าได้ทำความสะอาดเต็มที่ ใช้น้ำประมาณ 50 – 80 ลิตรต่อรอบ
- โปรแกรมซักด่วน โปรแกรมซักที่ออกแบบมาเพื่อลดเวลาในการซัก โดยจะใช้น้ำและพลังงานน้อยลง ใช้น้ำประมาณ 30 – 50 ลิตรต่อรอบ
- โปรแกรมซักผ้าหนา โปรแกรมที่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับผ้าที่หนา เช่น ผ้าห่มหรือผ้ายีน ซึ่งจะใช้น้ำมากกว่าการซักผ้าธรรมดา เนื่องจากต้องใช้เวลานานขึ้นและน้ำมากขึ้นในการทำความสะอาด
- โปรแกรมซักประหยัดน้ำ ECO ออกแบบมาเพื่อลดปริมาณการใช้น้ำและพลังงาน แต่ยังคงประสิทธิภาพในการทำความสะอาดเสื้อผ้า ช่วยให้ประหยัดค่าน้ำและค่าไฟได้มากขึ้น โดยใช้น้ำประมาณ 35 – 55 ลิตรต่อรอบ

วิธีคำนวณค่าน้ำจากการซักผ้า
เคยสงสัยไหมว่าซักผ้า 1 ครั้งจ่ายค่าน้ำเท่าไร? การคำนวณค่าน้ำจากการซักผ้ามีสูตรง่ายๆ ดังนี้
- นำปริมาณน้ำที่ใช้ต่อรอบ (ลิตร) หารด้วย 1,000 เพื่อแปลงเป็นลูกบาศก์เมตร
- คูณด้วยอัตราค่าน้ำประปาในพื้นที่ของคุณ (บาทต่อลูกบาศก์เมตร)
ตัวอย่างการคำนวณ
เครื่องซักผ้าของคุณใช้น้ำ 100 ลิตรต่อรอบ และอัตราค่าน้ำประปาในพื้นที่ของคุณคือ 18 บาทต่อลูกบาศก์เมตร
ปริมาณน้ำที่ใช้ 100 ลิตร = 0.1 ลูกบาศก์เมตร
ค่าน้ำต่อรอบการซัก 0.1 × 18 = 1.8 บาท
ดังนั้น ค่าใช้จ่ายในการซักผ้า 1 ครั้ง ที่ใช้น้ำ 100 ลิตร และมีอัตราค่าน้ำ 18 บาทต่อลูกบาศก์เมตร จะอยู่ที่ประมาณ 1.8 บาทต่อรอบ

รวม 5 วิธีประหยัดค่าน้ำเครื่องซักผ้า
การเลือกเครื่องซักผ้าที่ประหยัดน้ำเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการลดค่าน้ำเครื่องซักผ้า โดยเฉพาะในครอบครัวที่ซักผ้าเป็นประจำทุกวัน หากต้องการลดการใช้น้ำและประหยัดค่าใช้จ่ายในการซักผ้า มีเคล็ดลับประหยัดน้ำ ที่สามารถทำตามได้ง่ายๆ ดังนี้
1. ซักผ้าในปริมาณที่พอดี
การซักผ้าในปริมาณที่มากเกินไปทำให้เครื่องซักผ้าใช้น้ำมากขึ้นโดยไม่จำเป็น วิธีที่เหมาะสมคือใส่ผ้าให้พอดีกับขนาดของถังซัก ไม่อัดแน่นเกินไปและไม่ใส่น้อยเกินไป เพราะหากปริมาณผ้าไม่สมดุล เครื่องจะใช้น้ำมากขึ้นเพื่อให้เครื่องทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. เลือกโปรแกรมการซักที่เหมาะสม
เครื่องซักผ้าสมัยใหม่มีหลายโปรแกรมให้เลือกใช้ โดยแต่ละโปรแกรมใช้น้ำในปริมาณที่แตกต่างกัน หากผ้าไม่ได้สกปรกมาก ควรเลือกโปรแกรมที่ใช้น้ำน้อย เช่น ซักธรรมดา หรือซักด่วน เพื่อช่วยประหยัดน้ำ นอกจากนี้ยังมีโปรแกรม ECO หรือซักประหยัดน้ำ ที่ช่วยลดการใช้น้ำและพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยประหยัดทั้งค่าน้ำและค่าไฟในระยะยาวด้วย
3. แยกประเภทเสื้อผ้าก่อนซัก
การแยกประเภทเสื้อผ้าช่วยให้การซักมีประสิทธิภาพและประหยัดน้ำมากขึ้น ควรแยกผ้าตามระดับความสกปรก เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้โปรแกรมซักหนักกับผ้าทุกชิ้นโดยไม่จำเป็น นอกจากนี้ การแยกผ้าเนื้อบางและผ้าหนักยังช่วยให้เลือกโปรแกรมซักที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยลดการใช้น้ำและประหยัดพลังงานได้อีกด้วย
4. ขจัดคราบฝังแน่นก่อนซัก
การขจัดคราบสกปรกก่อนซักช่วยลดความจำเป็นในการซักซ้ำและประหยัดน้ำ ควรใช้สบู่ซักผ้าหรือน้ำยาขจัดคราบทาบริเวณที่เปื้อนก่อนนำเข้าเครื่อง สำหรับผ้าที่สกปรกมากแนะนำให้แช่ในน้ำผสมผงซักฟอกประมาณ 15 – 30 นาที เพื่อให้คราบหลุดง่ายขึ้นและซักได้สะอาดยิ่งขึ้น
5. ตรวจสอบและบำรุงรักษาเครื่องซักผ้าอย่างสม่ำเสมอ
การดูแลเครื่องซักผ้าให้ดีช่วยให้เครื่องทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดน้ำ ควรทำความสะอาดตัวกรองเป็นประจำเพื่อให้น้ำไหลเวียนได้ดี ตรวจสอบสายน้ำเข้าและสายน้ำทิ้งให้ไม่มีการรั่วซึม และควรทำความสะอาดถังซักเดือนละครั้งเพื่อกำจัดสิ่งตกค้างที่อาจส่งผลต่อการซักผ้า

สรุป
โดยรวมแล้วการใช้น้ำของเครื่องซักผ้านั้นมีความหลากหลายตามขนาดและประเภทของเครื่อง รวมถึงโปรแกรมซักที่เลือกใช้ เครื่องซักผ้าที่ขนาดใหญ่จะใช้น้ำมากกว่าเครื่องซักผ้าที่ขนาดเล็ก และการเลือกโปรแกรมซักที่ประหยัดน้ำ เช่น โปรแกรมซักด่วนหรือโปรแกรมประหยัดน้ำก็ช่วยลดการใช้น้ำในแต่ละครั้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น การเลือกเครื่องซักผ้าที่เหมาะสมกับความต้องการและการใช้โปรแกรมซักที่เหมาะสมจะช่วยให้การใช้น้ำมีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าน้ำได้เลือกลงทุนกับธุรกิจร้านสะดวกซัก เลือกซื้อเครื่องซักผ้าของ Straits Laundry เพื่อสร้างธุรกิจที่สามารถทนต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ เนื่องจากมีรายได้จากเงินสดและไม่ต้องพึ่งพาการลงทุนสูง นอกจากนี้ยังสามารถดำเนินการได้ตลอด 24 ชั่วโมงในทุกๆ วัน ทำให้มีความยืดหยุ่นสูงและสามารถเปิดเป็นธุรกิจเสริมได้อีกด้วย อีกทั้งธุรกิจนี้ต้องการแรงงานน้อยและมีเสถียรภาพในการดำเนินงาน ส่งผลให้ผลตอบแทนจากการลงทุนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง